การปกครองท้องถิ่น
ความหมายของการปกครองท้องถิ่นนั้น
ความหมายของการปกครองท้องถิ่นนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายหรือคำนิยามไว้มากมายซึ่งส่วนใหญ่แล้วคำนิยามเหล่านั้นต่างมีหลักการที่สำคัญคล้ายคลึงกัน
จะมีต่างกันบ้างก็คือสำนวนและรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งสามารถพิจารณาได้ดังนี้
เดเนียล วิท นิยามว่า การปกครองท้องถิ่น หมายถึง
การปกครองที่รัฐบาลกลางให้อำนาจ หรือกระจายอำนาจไปให้หน่วยการปกครองท้องถิ่น
เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีอำนาจการปกครองร่วมกันทั้งหมด
หรือเพียงบางส่วนในการบริหารท้องถิ่นตามหลักการที่ว่าถ้าอำนาจการปกครองมาจากประชาชนในท้องถิ่นแล้ว
รัฐบาลของท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องมีองค์กรของตนเอง อันเกิดจากการกระจายอำนาจของรัฐบาลกลาง
โดยให้องค์กรอันมิได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล
มีอำนาจในการตัดสินใจและบริหารงานภายในเขตอำนาจของตน
วิลเลี่ยม วี. ฮอลโลเวย์ นิยามว่าการปกครองท้องถิ่นหมายถึง
องค์การที่มีอาณาเขตแน่นอน มีประชากรตามหลักที่กำหนดไว้ มีอำนาจการปกครองตนเอง
มีการบริหารการคลังของตนเอง และมีสภาท้องถิ่นที่สมาชิกได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
จอห์น เจ. คลาร์ก นิยามว่า การปกครองท้องถิ่นหมายถึง
หน่วยการปกครองที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องกับการให้บริการประชาชนในเขตพื้นที่หนึ่งพื้นที่ใดโดยเฉพาะ
และหน่วยการปกครองดังกล่าวนี้จัดตั้งและจะอยู่ในความดูแลของรัฐบาลกลาง
แฮรีส จี. มอนตากู นิยามว่า การปกครองท้องถิ่น หมายถึง
การปกครองซึ่งหน่วยการปกครองท้องถิ่นได้มีการเลือกตั้งโดยอิสระ
เพื่อเลือกผู้ที่มีหน้าที่บริหารการปกครองทิ้งถิ่น มีอำนาจอิสระ
พร้อมความรับผิดชอบซึ่งตนสามารถที่จะใช้ได้โดยปราศจากความควบคุมของหน่วยการบริหารราชการส่วนกลางหรือภูมิภาค
แต่ทั้งนี้หน่วยการปกครองท้องถิ่นยังต้องอยู่ภายใต้บทบังคับว่าด้วยอำนาจสูงสุดของประเทศ
ไม่ได้กลายเป็นรัฐอิสระใหม่แต่อย่างใด
อีไมล์ เจ. ซัดดี้ นิยามว่าการปกครองท้องถิ่น หมายถึง
หน่วยการปกครองทางการเมืองที่อยู่ในระดับต่ำจากรัฐ ซึ่งก่อตั้งโดยกฎหมาย
และมีอำนาจอย่างเพียงพอที่จะทำกิจกรรมในทิ้งถิ่นได้ด้วยตนเอง
รวมทั้งอำนาจจัดเก็บภาษี
เจ้าหน้าที่ของหน่วยการปกครองท้องถิ่นดังกล่าวอาจได้รับการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งโดยท้องถิ่นก็ได้
ประทาน
คงฤทธิศึกษาการ นิยามว่า การปกครองท้องถิ่นเป็นระบบการปกครองที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระจายอำนาจทางการปกครองของรัฐ
และโดยนัยนี้จะเกิดองค์การทำหน้าที่ปกครองท้องถิ่นโดยคนในท้องถิ่นนั้นๆ
องค์การนี้จัดตั้งลูกควบคุมโดยรัฐบาล
แต่ก็มีอำนาจในการกำหนดนโยบายและควบคุมให้มีการปฎิบัติให้เป็นไปตามนโยบายของตนเอง
อุทัย หิรัญโต นิยามว่าการปกครองท้องถิ่น คือ
การปกครองที่รัฐบาลมอบอำนาจให้ประชาชนในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งจัดการปกครองและดำเนินกิจการบางอย่าง
โดยดำเนินกันเองเพื่อบำบัดความต้องการของตน
การบริหารงานของท้องถิ่นมีการจัดเป็นองค์การ
มีเจ้าหน้าที่ซึ่งประชาชนเลือกตั้งขึ้นมาทั้งหมด หรือบางส่วน
ทั้งนี้มีความเป็นอิสระในการบริหารงาน แต่
รัฐบาลต้องควบคุมด้วยวิธีต่าง ๆ ตามความเหมาะสม จะปราศจากการควบคุมของรัฐหาได้ไม่ เพราะการปกครองท้องถิ่นเป็นสิ่งที่รัฐทำให้เกิดขึ้น[๑]
รัฐบาลต้องควบคุมด้วยวิธีต่าง ๆ ตามความเหมาะสม จะปราศจากการควบคุมของรัฐหาได้ไม่ เพราะการปกครองท้องถิ่นเป็นสิ่งที่รัฐทำให้เกิดขึ้น[๑]
วินเลี่ยม เอ. ร๊อบสัน นิยามว่า การปกครองท้องถิ่น หมายถึง
หน่วยการปกครองซึ่งรัฐได้จัดตั้งขึ้นและให้มีอำนาจปกครองตนเอง (Autonomy) มีสิทธิตามกฎหมาย
(Legal Rights) และต้องมีองค์กรที่จำเป็นในการปกครอง (Necessary
Organization) เพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้สมความมุงหมายของการปกครองท้องถิ่นนั้น
ๆ[๒]
โกวิทย์ พวงงาม และอลงกรณ์ อรรคแสง มีความเห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
หมายถึง องค์กรที่ทำหน้าที่บริหารงานในแต่ะท้องถิ่น
มีผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนในท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบต่อการบริหารอย่างอิสระในเขตพื้นที่ที่กำหนด
มีอำนาจในการบริหารการเงินและการคลังและกำหนดนโยบายของตนเองรวมทั้งหน้าที่ดำเนินกิจกรรมภายในกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์ของรัฐและของประชาชนในท้องถิ่น
โดยองค์กรดังกล่าวในกรณีประเทศไทยได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.), เทศบาล,
องค์การบริหารส่วนตำบล, พัทยา และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น
ดังนั้น การปกครองท้องถิ่นจึงหมายถึง
การที่องค์กรหนึ่งมีพื้นที่อาณาเขตของตนเองมีประชากรและมีรายได้ตามที่หลักเกณฑ์กำหนด
โดยมีอำนาจและมีอิสระในการปกครองตนเอ มีการบริหารการคลังของตน
รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ให้บริการในด้นต่างๆ
แก่ประชาชาชนซึ่งประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวจะมีส่วนร่วมในการบริหารและปกครองตนเอง
อาทิ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในชุมชน
หรือการมีส่วนร่วมในการบริหารและปกครองตนเอง โดยผ่านตัวแทนท่าจากการเลือกตั้ง เช่น
การมีสภาท้องถิ่น เป็นต้น[๓]
องค์ประกอบการปกครองท้องถิ่น
ระบบการปกครองท้องถิ่นจะต้องประกอบด้วย องค์ประกอบ 8 ประการ คือ
1. สถานะตามกฎหมาย (Legal Status) หมายความว่าหากประเทศใดกำหนดเรื่องการปกครองท้องถิ่นไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศ
การปกครองท้องถิ่นในประเทศไทยนั้นจะมีความเข้มเข็งกว่าการปกครองท้องถิ่นที่จัดตั้งโดยกฎหมายอื่น
เพราะข้อความที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่า
ประเทศนั้นมีนโยบายที่จะกระจายอกนาจอย่างแท้จริง
2. พื้นที่และระดับ (Area and Level) ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการกำหนดพื้นที่และระดับของหน่วยการปกครองท้องถิ่นมีหลายประการเช่น
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์เชื้อชาติ และความสำนึกในการปกครองของตนเองของประชาชนจึงได้มีกฎเกณฑ์ที่จะกำหนดพื้นที่และระดับของหน่วยงานการปกครองท้องถิ่นออกเป็น
2 ระดับ คือ หน่วยการปกครองท้องถิ่นขนาดเล็กและขนาดใหญ่
สำหรับขนาดของพื้นที่จากการศึกษาขององค์การสหประชาชาติ
โดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม
(UNESCO) องค์การอนามัยโลก (WHO) และสำนักกิจการสังคม
(Bureau of Social Affair) ได้ให้ความเห้นว่าหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่สามารถให้บริการและบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพได้
ควรมีประชากรประมาณ 50,000 คน แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณาด้วย
เช่น ประสิทธิภาพในการบริหารรายได้ และบุคลากรเป็นต้น
3.
การกระจายอำนาจหน้าที่
การที่จะกำหนดให้ท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับนโยบายทางการเมืองและการปกครองของรัฐบาลเป็นสำคัญ
4.
องค์การนิติบุคคลจัดตั้งโดยผลแห่งกฎหมายแยกจาดรัฐบาลกลางหรือรัฐบาลแห่งชาติมีขอบเขตการปกครองที่แน่นอน
มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ออกฎ ข้อบังคับ ควบคุมให้มีการปฏิบัติตามนโยบายนั้น ๆ
5.
การเลือกตั้ง
สมาชิกองค์การหรือคณะผู้บริหารจะต้องได้รับเลือกตั้งจากประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ
ทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อแสดงถึงการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองของประชาชนโดยเลือกผู้บริหารท้องถิ่นของตนเอง
6.
อิสระในการปกครองท้องถิ่น
สามารถใช้ดุลพินิจของตนเองในการปฏิบัติกิจการในขอบเขต
ของกฎหมายโดยไม่ต้องขออนุมัติจากรัฐบาลกลาง และไม่อยู่ในสายการบังคับบัญชาของหน่วยงานราชการ
ของกฎหมายโดยไม่ต้องขออนุมัติจากรัฐบาลกลาง และไม่อยู่ในสายการบังคับบัญชาของหน่วยงานราชการ
7. งบประมาณของตนเอง มีอำนาจในการจัดเก็บรายได้
การจัดเก็บภาษีตามขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจในการจัดเก็บ
เพื่อให้ท้องถิ่นมีรายได้เพียงพอที่จะทะนุบำรุงท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
8.
การควบคุมดูแลของรัฐ
เมื่อได้รับการจัดตั้งขึ้นแล้วยังคงอยู่ในการกำกับดูแลจากรัฐ
เพื่อประโยชน์และความมั่นคงของรัฐและประชาชนโดนส่วนรวม
โดยการมีอิสระในการดำเนินงานของหน่วยการปกครองท้องถิ่นนั้นเพราะมิฉะนั้นแล้วท้องถิ่นจะกลายเป็นรัฐอธิปไตยไป
รัฐ
ต้องสงวนอำนาจในการควบคุม ดูแลอยู่[๔]
ต้องสงวนอำนาจในการควบคุม ดูแลอยู่[๔]
วัตถุประสงค์ของการปกครองท้องถิ่น
1. ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล ทั้งทางด้านการเงิน ตัวบุคล
ตลอดจนเวลาที่ใช้ในการดำเนินการ
2. เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
3.
เพื่อให้หน่วยการปกครองท้องถิ่นเป็นสถาบันที่ให้การศึกษาการปกครองระบบประชาธิปไตยแก่ประชาชน
ความสำคัญของการปกครองท้องถิ่น
1. การปกครองท้องถิ่นถือเป็นรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เพราะเป็นสถาบันฝึกสอนการเมืองการปกครองให้แก่ประชาชน ทำให้เกิดความคุ้นเคยในการใช้สิทธิและหน้าที่พลเมือง อันจะนำมาสู่ความศรัทธาเลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย
เพราะเป็นสถาบันฝึกสอนการเมืองการปกครองให้แก่ประชาชน ทำให้เกิดความคุ้นเคยในการใช้สิทธิและหน้าที่พลเมือง อันจะนำมาสู่ความศรัทธาเลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย
2. การปกครองท้องถิ่นเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล
3. การปกครองท้องถิ่นจะทำให้ประชาชนรู้จักการปกครองตนเอง
เพราะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง
ซึ่งจะทำให้ประชาชนเกิดสำนึกของตนเองต่อท้องถิ่น ประชาชนจะมีส่วนรับรู้ถึงอุปสรรค
ปัญหา และช่วยกันแก้ไขปัญหาของท้องถิ่นของตน
4. การปกครองท้องถิ่นสามารถตอบสนองความต้องการของท้องถิ่นตรงเป้าหมาย
และมีประสิทธิภาพ
5.
การปกครองท้องถิ่นจะเป็นแหล่งสร้างผู้นำทางการเมือง
การบริหารของประเทศในอนาคต
6. การปกครองท้องถิ่นสอดคล้องกับแนวคิดในการพัฒนาชนบทแบบพึ่งตนเอง
หน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยการปกครองท้องถิ่น
หน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานการปกครองท้องถิ่น
ควรจะต้องพิจารณาถึงกำลังเงินกำลังงบประมาณ กำลังคน กำลังความสามารถของอุปกรณ์
เครื่องมือ เครื่องใช้
และหน้าที่ความรับผิดชอบควรเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างแท้จริง หากเกินกว่าภาระ
หรือเป็นนโยบายซึ่งรัฐบาลต้องการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งประเทศ
ก็ไม่ควรมอบให้ท้องถิ่นดำเนินการ เช่น งานทะเบียนที่ดิน การศึกษาในระดับอุดมศึกษา
การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบให้หน่วยการปกครองท้องถิ่นดำเนินการ
มีข้อพิจารณาดังนี้
1. เป็นงานที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น
และงานที่เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในชีวิตความ2. เป็นงานที่เกี่ยวกับการป้องกันภัย
รักษาความปลอดภัย เช่น งานดับเพลิง
3. เป็นงานที่เกี่ยวกับสวัสดิการสังคม
ด้านนี้มีความสำคัญต่อประชาชนในท้องถิ่นมาก เช่น
การจัดให้มีหน่วยบริการทางสาธารณสุข จัดให้มีสถานสงเคราะห์เด็กและคนชรา เป็นต้น
4.
เป็นงานที่เกี่ยวกับพาณิชย์ท้องถิ่น
เป็นงานที่หากปล่อยให้ประชาชนดำเนินการเองอาจไม่ได้รับผลดีเท่าที่ควรจะเป็น จัดให้มีโรงจำนำ การจัดตลาดและงานต่าง ๆ
ที่มีรายได้โดยสามารถเรียกค่าบริการจากประชาชน
5. เป็นงานที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
ในฐานะที่การปกครองท้องถิ่นเป็นสถาบันการเมืองสถาบันหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย
จึงมีหน้าที่ในการให้ความรู้ทางการเมืองแก่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองการใช้อำนาจเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
เช่น การจราจร การรักษาความสะอาด เป็นต้น[๕]
6. รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการจัดทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่
รัฐธรรมนูญจึงได้บัญญัติไว้ให้มีการจัดสรรสัดส่วนภาษีและอากรระะหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกัน
โดยจะต้องบัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้ในกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ[๖]
แนวคิดทฤษฏีการปกครองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจ
แนวความคิดเกี่ยวกับหลักการจัดระเบียบการปกครองประเทศ
โดยทั่วไปหลักการปกครองประเทศนิยมแบ่งเป็น 3 หลัก คือ
หลักการรวมอำนาจ ปกครอง (Centralization), หลักการแบ่งอำนาจการปกครอง
(Deconcentration) และหลักการกระจายอำนาจปกครอง (Decentralization)
1.1 หลักการรวมอำนาจปกครอง (Centralization)
หมายถึง
หลักการจัดวางระเบียบบริหารราชการแผ่นดินโดยรวมอำนาจในการปกครองไว้ให้แก่การบริหารราชการส่วนกลางอันได้แก่
กระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมืองต่าง ๆ ของรัฐ
และมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยการบรหารราชการส่วนกลาง โดยให้ขึ้นต่อกันตามลำดับชั้นการบังคับบัญชา
ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการปกครองตลอดทั่วทั้งอาณาเขตของประเทศ
1.1.1 ลักษณะสำคัญของหลักการรวมอำนาจปกครอง
(1). มีการรวมกำลังทหารและกำลังตำรวจให้ขึ้นต่อส่วนกลางเพื่อให้การบังคับบัญชาเป็นไปอย่างเด็ดขาด
และทันท่วงที
(2) มีการรวมอำนาจวินิจฉัยสั่งการไว้ในส่วนกลาง
(3) มีการลำดับขั้นการบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ลดหลั่นกันไป
(Hierarchy)
1.1.2 จุดเข็งของหลักการรวมอำนาจปกครอง
(1) การที่รัฐบาลมีอำนาจแผ่ขยายไปทั่วราชอาณาเขต
ทำให้นโยบาย แผน หรือคำสั่งเกิดผลได้ทั่วประเทศอย่างทันที
(2) ให้บริการและประโยชน์แก่ประชาชนโดยเสมอหน้าทั่วประเทศมิได้ทำเพื่อท้องถิ่นใดโดยเฉพาะ
(3) ทำให้เกิดการประหยัดเพราะสามารถหมุนเวียนเจ้าหน้าที่และเครื่องมือ
เครื่องใช้ไปยังจุดต่าง ๆ ของประเทศ ได้โดยไม่ต้องจัดชื้อจัดหาประจำทุกจุด
เครื่องใช้ไปยังจุดต่าง ๆ ของประเทศ ได้โดยไม่ต้องจัดชื้อจัดหาประจำทุกจุด
(4) มีความเป็นเอกภาพในการปกครองและบริหารงาน
การปกครองในท้องถิ่นที่เป็นไปในแนวเดียวกัน
(5) มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นทำให้บริการสาธารณะดำเนินไปโดยสม่ำเสมอ
และเป็นไปตามระเบียบแบบแผนอันเดียวกัน
1.1.3 จุดอ่อนของหลักการรวมอำนาจปกครอง
(1) ไม่สามารถดำเนินกิจการทุกอย่างให้ได้ผลดีทั่วทุกท้องที่ในเวลาเดียวกัน
เพราะมีพื้นที่กว้างใหญ่ จึงไม่อาจสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นได้ทั่วถึง
(2) การปฏิบัติงานมีความล่าช้า
เพราะมีแบบแผนและขั้นตอนมากมายตามลำดับขั้นการบังคับบัญชา
(3) ไม่สอดคล้องกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
(4) ไม่อาจตอบสนองความต้องการของแต่ละท้องถิ่นได้อย่างแท้จริงเพราะความหลากหลายของความแตกต่างในแต่ละท้องถิ่น
1.2 หลักการแบ่งอำนาจปกครอง (Deconcentration)
หมายถึง หลักการที่การบริหารราชการส่วนกลางได้จัดแบ่งอำนาจวินิจฉัยและสั่งการบางส่วนไปให้ข้าราชการในส่วนภูมิภาค
โดยให้มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจ ตัดสินใจ แก้ไขปัญหา
ตลอดจนเริ่มได้ในกรอบแห่งนโยบายของรัฐบาลที่ได้วางไว้
1.2.1 ลักษณะสำคัญของหลักการแบ่งอำนาจปกครอง (1) เป็นการบริหารโดยใช้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งไปจากส่วนกลางไปประจำตามเขตการปกครองในส่วนภูมิภาคทุกแห่ง
ได้แก่ ภาค มณฑล จังหวัด อำเภอ กิ่งอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน เป็นต้น
และเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็อยู่ในระบบการบริหารงานบุคคลของรัฐบาลกลางอันเดียวกัน
(2) เป็นการบริหารโดยใช้งบประมาณซึ่งส่วนกลางเป็นผู้อนุมัติและควบคุมให้เป็นไปตามวิธีการงบประมาณแผ่นดิน
(3) เป็นการบริหารภายใต้นโยบายและวัตถุประสงค์ของรัฐบาลกลาง
1.2.2 จุดเข็งของหลักการแบ่งอำนาจปกครอง
(1) หลักการนี้เป็นก้าวแรกที่จะนำพาไปสู่การกระจายอำนาจการปกครอง
(2) ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วขึ้นในการมาติดต่อในเรื่องที่ราชการส่วนภูมิภาคมีอำนาจวินิจฉัยสั่งการ
เพราะไม่ต้องรอให้ส่วนกลางมาวินิจฉัยสั่งการ
(3) เป็นจุดเชื่อมระหว่างส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ทำให้การติดต่อประสานงานระหว่างทั้ง
2 ส่วนดีขึ้น
(4) มีประโยชน์ต่อประเทศที่ประชาชนยังไม่รู้จักการปกครองตนเอง
1.2.3 จุดอ่อนของหลักการแบ่งอำนาจปกครอง
(1) เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
เพราะการที่ส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเข้าไปบริหารงานในท้องถิ่นสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่เชื่อในความสามรถของท้องถิ่น
(2) เกิดความล่าช้าในการบริหารงานเพราะต้องผ่านระเบียบแบบแผนถึง
2 ระดับ
คือ ระดับส่วนกลาง และระดับส่วนภูมิภาค
(3) ทำให้ระบบราชการมีขนาดใหญ่โตเกิดการสิ้นเปลืองงบประมาณ
(4) ทำให้ทรัพยากรที่มีค่าบางอย่างในท้องถิ่นไม่เกิดประโยชน์
เช่น บุคลากร เจ้าหน้าที่ –เพราะถูกส่งมาจากที่อื่น
(5) บุคลากร
เจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งเข้าไปปฏิบัติในท้องถิ่น ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มที่
อาจจะเนื่องมาจากไม่ใช่คนในพื้นที่จึงไม่เข้าใจพื้นที่
และอาจเกิดความขัดแย้งกับคนในพื้นที่
1.3 หลักการกระจายอำนาจปกครอง (Decentralization) หมายถึง
หลักการที่รัฐมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้แก่องค์การอื่นที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยการ
บริหารราชการส่วนกลางให้จัดทำบริการสาธารณะบางอย่างโดยมีอิสระตามสมควร เป็นการมอบอำนาจให้ทั้งในด้านการเมืองและการบริหาร เป็นเรื่องที่ท้องถิ่นมีอำนาจที่จะกำหนดนโยบายและควบคุมการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายท้องถิ่นของตนเองได้
บริหารราชการส่วนกลางให้จัดทำบริการสาธารณะบางอย่างโดยมีอิสระตามสมควร เป็นการมอบอำนาจให้ทั้งในด้านการเมืองและการบริหาร เป็นเรื่องที่ท้องถิ่นมีอำนาจที่จะกำหนดนโยบายและควบคุมการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายท้องถิ่นของตนเองได้
1.3.1 ลักษณะสำคัญของหลักการกระจ่ายอำนาจปกครอง
(1) ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยผลแห่งกฎหมาย
ให้มีส่วนเป็นนิติบุคคลหน่วยการปกครองท้องถิ่นเหล่านี้มีหน้าที่ งบประมาณ
และทรัพย์สินเป็นของตนเองต่างหาก และไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยการปกครองส่วนกลาง
ส่วนกลางเพียงแต่กำกับดูแลให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น
(2) มีการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นทั้งหมดเพื่อเปิด
โอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง
โอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง
(3) มีอำนาจอิสระในการบริหารงาน
จัดทำกิจกรรมและวินิจฉัยสั่งการได้เองพอสมควร ด้วยงบประมาณและเจ้าหน้าที่ของตนเอง
(4) หน่วยการปกครองท้องถิ่น
ต้องมีอำนาจในการจัดเก็บรายได้ เช่น ภาษีอากร ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามที่รัฐอนุญาต
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการต่าง ๆ
1.3.2 จุดเข็งของหลักการกระจายอำนาจปกครอง
(1) ทำให้มีการสนองความต้องการของแต่ละท้องถิ่นได้ดีขึ้นเพราะผู้บริหารที่มาจากการเลือกตั้งในท้องถิ่นจะรู้ปัญหาและความต้องการของท้องถิ่นได้ดีกว่า
(2) เป็นการแบ่งเบาภาระของหน่วยการบริหารราชการส่วนกลาง
(3) เป็นการส่งเสริมและพัฒนาการเมืองในระดับท้องถิ่นตามระบอบประชาธิปไตย
เพราะการกระจายอำนาจทำให้ประชาชนในท้องถิ่นตามระบอบประชาธิปไตย
เพราะการกระจายอำนาจทำให้ประชาชนในท้องถิ่นรู้จักรับผิดชอบในการปกครองท้องถิ่นของตนเองมากขึ้น
1.3.3 จุดอ่อนของหลักการกระจายอำนาจปกครอง
(1)
อาจก่อให้เกิดการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างท้องถิ่นซึ่งมีผลกระทบ
ต่อเอกภาพทางการปกครองและความมั่นคงของประเทศ ประชาชนในแต่ละท้องถิ่นอาจมุ่งแต่ประโยชน์ของท้องถิ่นตน ไม่ให้ความสำคัญกับส่วนร่วม
ต่อเอกภาพทางการปกครองและความมั่นคงของประเทศ ประชาชนในแต่ละท้องถิ่นอาจมุ่งแต่ประโยชน์ของท้องถิ่นตน ไม่ให้ความสำคัญกับส่วนร่วม
(2) ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งอาจใช้อำนาจบังคับกดขี่คู่แข่งหรือประชาชนที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายตนเอง
(3) ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองงบประมาณ
เพราะต้องมีเครื่องมือเครื่องใช้และบุคลากรประจำอยู่ทุกหน่วยการปกครองท้องถิ่น
ไม่มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนเหมือนการบริหารราชการส่วนกลาง
2. แนวความคิดเกี่ยวกับลักษณะการกระจายอำนาจ
การกระจายอำนาจ (Decentralization) คือการโอนกิจการบริการสาธารณะบางเรื่องจากรัฐหรือองค์การปกครองส่วนกลางไปให้ชุมชนซึ่งตั้งอยู่ในท้องถิ่นต่าง
ๆ
ของประเทศ หรือหน่วยงานบางหน่วยงานรับผิดชอบจัดทำอย่างเป็นอิสระจากองค์กรปกครองส่วนกลาง ดังนั้นเห็นว่าการกระจายอำนาจมี 2 รูปแบบ คือ
ของประเทศ หรือหน่วยงานบางหน่วยงานรับผิดชอบจัดทำอย่างเป็นอิสระจากองค์กรปกครองส่วนกลาง ดังนั้นเห็นว่าการกระจายอำนาจมี 2 รูปแบบ คือ
2.1 การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น หรือการกระจายอำนาจตามอาณาเขต หมายถึง การมอบอำนาจให้ท้องถิ่นจัดทำกิจการหรือบริการสาธารณะบางเรื่องภายในเขตของแต่ละท้องถิ่น
และท้องถิ่นมีอิสระในการปกครองตนเองพอสมควร
2.2 การกระจายอำนาจตามบริการ
หรือการกระจายอำนาจทางเทคนิค หมายถึง
การโอนกิจการบริการสาธารณะบางกิจการจากรัฐหรือองค์การปกครองส่วนกลาง
ไปให้หน่วยงานบางหน่วยงานรับผิดชอบจัดทำแยกต่างหากและอย่างเป็นอิสระ
โดยปกติแล้วจะเป็นกิจการซึ่งการจัดทำต้องอาศัยความรู้ความชำนาญทางเทคโนโลยีแขนงหนึ่งเป็นพิเศษ
เช่น การสื่อสาร วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ การผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นต้น
ธเนศวร์ เจริญเมือง ได้เขียนไว้ในบทความเรื่องกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
โดยมีแนวความคิดหรือทัศนะต่อการกระจายอำนาจไว้อย่างน่าสนใจ
ดังนี้
โดยมีแนวความคิดหรือทัศนะต่อการกระจายอำนาจไว้อย่างน่าสนใจ
ดังนี้
การกระจายอำนาจ (Decentralization) หมายถึงระบบการบริหารประเทศที่เปิดโอกาสให้ท้องถิ่นต่าง
ๆ มีอำนาจในการดูแลกิจการหลาย ๆ ด้านของตนเอง ไม่ใช่ปล่อยให้รัฐบาลกลางรวมศูนย์อำนาจในการจัดการกิจการแทบทุกอย่างของท้องถิ่น
กิจการที่ท้องถิ่นมีสิทธิจัดการดูแลมักได้แก่ ระบบสาธารณูปโภค
การศึกษาและศิลปวัฒนธรรม การดูชีวิตทรัพย์สิน และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ส่วนกิจการใหญ่ ๆ 2 อย่างที่รัฐบาลกลางควบคุมไว้เด็ดขาดก็คือการทหาร และการต่างประเทศ
ขอบเขตของการดูแลกิจการในท้องถิ่นแต่ละประเทศต่างกันไปในรายละเอียดตามลักษณะเฉพาะของแต่ละประเทศ
แต่ส่วนที่เหมือนกันและมีความสำคัญอย่างยิ่งก็คือ
รัฐบาลกลางมิได้รวมศูนย์อำนาจการดูแลจัดการแทบทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง
แต่ปล่อยให้ท้องถิ่นมีบทบาทและอำนาจในการกำหนดลักษณะต่าง ในท้องถิ่นของตน
ในแง่นี้การจัดการบริหารประเทศดังกล่าวก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีเหตุผลทั้งนี้เพราะประเทศหนึ่ง
ๆ มีชุมชนมากมายรวมกัน มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก
และแต่ละชุมชนก็มีปัญหาต่าง ๆ มากมายแตกต่างกัน ยากนักที่คนในท้องถิ่นอื่นจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
และสามารถจัดเวลาไปดูแลและแก้ไขกิจการทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเปิดโอกาสให้แต่ละท้องถิ่นดูแลจัดการปัญหาระดับท้องถิ่นจึงมีคุณประโยชน์สำคัญอย่างน้อย
5 ด้าน คือ
1. แบ่งเบาภาระของรัฐบาลกลาง
2. ทำให้ปัญหาในแต่ละท้องถิ่นได้รับการแก้ไขปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และเป็นไปตามความต้องการของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ
3.
ส่งเสริมให้คนแต่ละท้องถิ่นได้แสดงความสามารถพัฒนาบทบาทตนเองในการดูแลรับผิดชอบท้องถิ่นของตน
4. เป็นพื้นฐานสำคัญของคนในท้องถิ่นในการก้าวขึ้นไปดูแลแก้ไขปัญหาระดับชาติ
5. เสริมสร้างความมั่นคงและเข้มเข็งให้แก่ชุมชนและทั้งประเทศเนื่องจากปัญหาต่าง
ๆ ได้รับการแก้ไข สังคมมีความมั่นคงและเจริญก้าวหน้า
ประชาชนมีคุณภาพและมีบทบาทในการจัดการดูแลสังคมของตัวเอง
3. ทฤษฎีเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น
ประเด็นที่นำเสนอเกี่ยวกับทฤษฏีการปกครองท้องถิ่น มีดังนี้
3.1 ความสัมพันธ์ระหว่างการปกครองท้องถิ่นกับการพัฒนาประชาธิปไตย
หัวใจของการปกครองท้องถิ่นนั้น
กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว
ก็คือคำถามที่ว่าการปกครองท้องถิ่นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับระบอบประชาธิปไตย การจัดสรรอำนาจระหว่างองค์การปกครองท้องถิ่นกับรัฐบาลกลางควรเป็นอย่างไร
และการปกครองท้องถิ่นควรมีความเป็นประชาธิปไตยแค่ไหนนั่นเอง
ในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก มีแนวคิดที่แตกต่างกันถึง
3 สำนักว่าด้วยประเด็นนี้
ผิดกับในสังคมไทยที่มีเพียงความเห็นเดียว คือ ทุก ๆ ฝ่ายชอบที่จะกล่าวว่า
การปกครองท้องถิ่นเป็นรากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เป็นการปกครองที่จะต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ทว่าในทางปฏิบัติ
กลับไม่มีลักษณะเช่นนั้น
สำนักแรก เป็นแนวความคิดของฝ่ายคัดค้านการปกครองตนเองของท้องถิ่นโดยเห็นว่าการปกครองท้องถิ่นนั้นเป็นหลักการที่ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง
สำนักที่สองเห็นว่าหลักการประชาธิปไตยได้แก่ การปกครองโดยเสียงข้างมาก (Majority
Rule) และความเสมอภาค (Equality) นั้นไม่อาจตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของการปกครองท้องถิ่นได้
เพราะการปกครองท้องถิ่นมีลักษณะคับแคบ เห็นแก่ท้องถิ่นตนเป็นหลัก (Parochial)
หลากหลาย (Diverse) มีแนวโน้มจะเป็นแบบคณาธิปไตย
(Potentially Oligarchic) และมีลักษณะฉ้อฉลอำนาจ (Corrupt)
ส่วนสำนักที่สามเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยกับการปกครองท้องถิ่นเกี่ยวพันกันอย่างยิ่ง
ประชาชนต้องมีเสรีภาพ ประชาชนซึ่งเสียภาษีต้องมีสิทธิมีเสียงในการบริหารบ้านเมือง
ต้องรู้ว่าผู้บริหารจะทำอะไร
ผู้บริหารควรปรึกษาหารือกับประชาชนในกิจการสาธารณะต่าง ๆ
และไม่ว่าประชาชนจะอยู่ในเมืองหรือหมู่บ้านล้วนมีเสรีภาพในการบริหารท้องถิ่นเพื่อผลประโยชน์ของท้องถิ่นเอง
การที่สำนักแรกเห็นว่า
การปกครองท้องถิ่นกับระบอบประชาธิปไตยขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
และไม่อนุญาตให้มีการปกครองท้องถิ่นเกิดขึ้นได้ ผลที่ตามมา คือระบบการบริหารประเทศบนพื้นฐานของแนวคิดดังกล่าวจึงเป็นระบบการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางไม่มีการปกครองตนเองในท้องถิ่นต่าง
ๆ
สำนักที่สอง เห็นว่าอนุญาตให้มีการปกครองท้องถิ่นได้
แต่ต้องมีการควบคุมจากรัฐบาลกลางอย่างมาก
เพราะหัวใจของการบริหารประเทศอยู่ที่ส่วนกลางต้องฟังความเห็นของคนส่วนใหญ่ในประเทศ
จึงกำหนดให้การปกครองท้องถิ่นทุกระดับมีฐานะ โครงสร้างการบริหาร
และโครงสร้างอำนาจหน้าที่เหมือนกัน ทัศนะเช่นนี้เป็นของนักคิดฝรั่งเศสบางคน เช่น
จอร์ช ล็องโกร
ซึ่งกล่าวว่าระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยนั้นไม่จำเป็นต้องมีการปกครองท้องถิ่นก็ได้
เพราะการปกครองท้องถิ่นเป็นเพียงกลไกการบริหารด้านเทคนิค
และก็ไม่จำเป็นว่าองค์กรปกครองท้องถิ่นจะยอมรับค่านิยมแบบประชาธิปไตย
เนื่องจากองค์กรเหล่านั้นอาจจะแตกแยกกัน (Decisive) ไม่นิยมความเสมอภาค
(Inegalitarian) และขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของส่วนรวม (Contrary
to the public will) นอกจากนี้บางท้องถิ่นอาจคิดถึงการแบ่งแยกดินแดนออกไปเป็นอิสระอีกด้วยทัศนะเช่นนี้มีผลต่อ
ระบบการบริหารและการจัดการการปกครองท้องถิ่นของฝรั่งเศส ก่อนที่จะเกิดการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2525
ระบบการบริหารและการจัดการการปกครองท้องถิ่นของฝรั่งเศส ก่อนที่จะเกิดการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2525
นักคิดชาวเบลเยี่ยม เช่น ลีโอ มูแลง (Leo Molin) ก็มีความเห็นเช่นนี้
โดยได้กล่าวว่า การมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่นของประชาชนนั้น ในทางปฏิบัติต้องถือว่ามีข้อจำกัดมาก "การปกครองท้องถิ่นนั้นเป็นเพียงแหล่งฝึกอบรมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวและ
ส่วนท้องถิ่นที่คับแคบและมองข้ามผลประโยชน์ที่สูงกว่าในระดับชาติ" ในขณะที่การบริหารระดับชาติมีขนาดใหญ่แตกต่างจากระดับท้องถิ่นมาก จนกระทั้งประสบการณ์และความรู้ในการจัดการท้องถิ่นนั้นไม่อาจนำไปใช้ได้กับกิจการระดับชาติ นอกจากนี้ ผลประโยชน์ระดับท้องถิ่นและความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ก็ไม่เหมาะกับระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ ความคิดดังกล่าวได้ก่ออิทธิพลต่อการจัดการการปกครองท้องถิ่นในเบลเยี่ยมเช่นกัน
ส่วนท้องถิ่นที่คับแคบและมองข้ามผลประโยชน์ที่สูงกว่าในระดับชาติ" ในขณะที่การบริหารระดับชาติมีขนาดใหญ่แตกต่างจากระดับท้องถิ่นมาก จนกระทั้งประสบการณ์และความรู้ในการจัดการท้องถิ่นนั้นไม่อาจนำไปใช้ได้กับกิจการระดับชาติ นอกจากนี้ ผลประโยชน์ระดับท้องถิ่นและความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ก็ไม่เหมาะกับระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ ความคิดดังกล่าวได้ก่ออิทธิพลต่อการจัดการการปกครองท้องถิ่นในเบลเยี่ยมเช่นกัน
สำนักที่สาม การปกครองท้องถิ่นมีความจำเป็นในระบอบประชาธิปไตย
เพราะมันช่วยให้คนในท้องถิ่นต่าง ๆ ได้เสนอปัญหาและหาทางแก้ไข
ซึ่งงานเช่นนี้ไม่อาจให้รัฐบาลกลางทำ จอห์น สจ๊วจ มิลล์ (John Stuart Mill)
ให้ความเห็นว่า การปกครองท้องถิ่นจึงเป็นการศึกษาทางการเมือง
และเป็นแหล่งสร้างความสามัคคีในท้องถิ่น การปกครองท้องถิ่นจึงเป็นปัจจัยอันดับต้น
ๆ ของประชาธิปไตยในทัศนะของแพนเทอร์-บริ๊ก (Panter Brick) การปกครองท้องถิ่นเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับประชาธิปไตยระดับชาติ
(a necessary condition of national democracy) เพราะมันเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ออกความเห็น
(creating a democratic climate of opinion) ให้ประชาชน
มีส่วนร่วมในการจัดการชุมชุมของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม
มีความคิดเห็นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิยมรัฐบาลกลาง หรือนิยมระบบรวมศูนย์ (Federalists
หรือ Centralists) และฝ่ายอำนาจอยู่ที่ประชาชน
หรือเรียกร้องให้มีการกระจายอำนาจ (Decentralists)
แต่ในความเป็นจริง ตั้งแต่แรกก่อตั้งสหรัฐอเมริกา ระบบสหพันธรัฐ (Federal
System) ก็มีเจตนารมณ์ตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้วว่า
ให้มีทั้งรัฐบาลกลาง รัฐบาลมลรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งก็คือยอมรับระบบการปกครองแบบกระจายอำนาจโดยพื้นฐานปัญหามีอยู่เพียงว่าจะจัดแบ่งอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับรัฐและท้องถิ่นอย่างไรให้ลงตัวเท่านั้นเอง
และด้วยเหตุนี้ ช่วง 1
ศตวรรษแรกของการสถาปนาประเทศนี้จึงเต็มไปด้วยการค้นหาและขัดแย้งกันเพื่อจัดระบบการแบ่งสรรอำนาจดังกล่าว
3.2 บทบาทการปกครองท้องถิ่นก่อให้เกิดการพัฒนาประชาธิปไตยทั้งระดับชุมชนและระดับประเทศ
แนวคิดต่อการปกครองท้องถิ่นที่มีความเห็นต่างกันอยู่บ้าง
นั่นก็คือ การมองว่าการปกครองท้องถิ่นไม่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการปกครองในระดับชาติ
ซึ่งก็มักเป็นฝ่ายที่นิยมระบบรวมศูนย์หรือฝ่ายนิยมรัฐบาลกลาง
ซึ่งก็เห็นว่าในปัจจุบันเกือบจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันแล้ว
สำหรับในปัจจุบันฝ่ายที่เห็นว่า การปกครองท้องถิ่นเป็นแบบประชาธิปไตยโดยพื้นฐาน
ผู้นำท้องถิ่นควรมาจากการเลือกตั้งและการปกครองท้องถิ่นเช่นนี้
จะมีส่วนส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยระดับชาติ ซึ่งเป็นความคิดเชิงบวกที่ได้รับความนิยมโดยทั่วไป และเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยหลักการแล้ว บทบาทการปกครองท้องถิ่นก่อให้เกิดกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในระดับชุมชนและระดับประเทศดังนี้
จะมีส่วนส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยระดับชาติ ซึ่งเป็นความคิดเชิงบวกที่ได้รับความนิยมโดยทั่วไป และเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยหลักการแล้ว บทบาทการปกครองท้องถิ่นก่อให้เกิดกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยในระดับชุมชนและระดับประเทศดังนี้
ประการแรก
ก่อให้เกิดและกระตุ้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน (Greater political
participation by the people) การปกครองท้องถิ่นซึ่งมีผู้นำมาจากการเลือกตั้งมีประโยชน์เริ่มตั้งแต่การกระตุ้นความสนใจของประชาชน
และการที่ผู้นำเหล่านั้นมาจากการเลือกตั้งเสนอนโยบายให้ประชาชนได้ทราบ ได้คิด
ถกเถียงและตัดสินใจเลือก
ย่อมส่งเสริมให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่นมากขึ้น
ประการที่สอง
ก่อให้เกิดความรับผิดชอบของผู้นำต่อประชาชน (Account ability) ที่ผ่านมาคำว่า Accountability
เป็นคำที่ไม่ค่อยปรากฎในสังคมไทย
แต่เป็นคำที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในสังคมประชาธิปไตยตะวันตก
เพราะว่าคำนี้หมายถึงพันธะสัญญาหรือความรับผิดชอบในทางการเมืองที่ผู้มาจากการเลือกตั้งมีต่อผู้เลือกตั้ง
เนื่องจากว่าประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งตัวแทนของตนตัวแทนเหล่านั้นจึงจะต้องมีความรับผิดชอบในแง่ที่ว่า
ตัวเขาเข้าไปทำงานอะไร ผลของงานเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือส่วนตัว
ต้องอธิบายได้ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น
ประการที่สาม
การปกครองท้องถิ่นที่เข้มแข็งจะขจัดระบบเผด็จการของรัฐบาล กล่าวคือ
เมื่อมีการกระจายอำนาจมากขึ้น ท้องถิ่นเข้มแข็ง การยึดอำนาจและการใช้อำนาจเผด็จการจากส่วนกลางก็จะเป็นไปได้ยาก
ประการที่สี่
การเมืองท้องถิ่นเป็นเวทีสร้างนักการเมืองระดับชาติ
การเรียนรู้ทางการเมืองในท้องถิ่นทำให้คุณภาพของนักการเมืองระดับชาติสูงขึ้น
ประการที่ห้า
การสร้างประชาธิปไตยหรือการพัฒนาการเมืองที่มั่นคงจะต้องเริ่มจากการสร้างประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นก่อน
จากนั้นจึงขยายไประดับประเทศ
ประการที่หก
การปกครองท้องถิ่นทำให้เกิดการเข้าสู่ทางการเมืองของประชาชน ( Politicization
) เมื่อมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทำให้มีกิจกรรมต่าง ๆ
เกี่ยวกับการเมือง และประชาชนก็จะเกิดความผูกพัน
และใส่ใจการเมืองมากขึ้นเพราะการบริหารกิจการท้องถิ่นมีผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของประชาชน
บรรณานุกรม
ชูวงศ์ ฉายะบุตร. (2539). การปกครองท้องถิ่นไทย. กรุงเทพ: บรืษัท พิฆเนศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์ จำกัด.
ชูวงศ์ ฉายะบุตร. (2539). การปกครองท้องถิ่นไทย. กรุงเทพ: บรืษัท พิฆเนศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์ จำกัด.
ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์. (2547). การปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2540). กรุงเทพ: สำนักพิมพ์ วิญญูชน
จำกัด.
ดร.บูฆอรี หยีหมะ. (2550). การปกครองท้องถิ่นไทย.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นันทวัฒน์ บรมานันท์. (2544). การปกครองท้องถิ่นฝรั่งเศส.
กรุงเทพ: สถาบันนโยบายศึกษา.
รศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม. (๒๕๕๕). การปกครองท้องถิ่นไทย.
กรุงเทพ: สำนักพิมพ์วิญญูชน จำกัด.
รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิทย์ พวงงาม. (2550). การปกครองท้องถิ่นว่าด้วยทฤษฏี
แนวคิดละหลักการ . กรุงเทพฯ: บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จำกัด.
รองศาสตราจารย์ ดร.โกวิทย์ พวงงาม. (2552). การปกครองส่วนท้องถิ่นไทย
: หลักการและมิติใหม่ในอนาคต. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ วิญญูชน จำกัด.
สีมา สีมานันท์. การปกครองส่วนท้องถิ่นของอังกฤษ.
กรุงเทพฯ: นิตยสารท้องถิ่น.
อุทัย หิรัญโต. (2523). การปกครองท้องถิ่น. กรุงเทพ:
สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.
[๑] อุทัย หิรัญโต. การปกครองท้องถิ่น. (กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2523) หน้า 2.
[๒] โกวิทย์ พวงงาม. การปกครองท้องถิ่น : หลักการและมิติใหม่ในอนาคต (กรุงเทพฯ : วิญญูชน,
2552) หน้า 28 – 29.
[๓] โกวิทย์ พวงงาม. การปกครองท้องถิ่น ว่าด้วยทฤษฏี แนวคิด
และหลักการ. (กรุงเทพฯ : เอ็กซเปอร์เน็ท, 2550) หน้า 13.
[๔] ชูวงศ์ ฉายะบุตร. การปกครองท้องถิ่นไทย. (กรุงเทพฯ : พิฆเนศ พริ้นติ้ง เซ็นเตอร์, 2539) หน้า 31
[๕]
โกวิทย์ พวงงาม. การปกครองท้องถิ่น ว่าด้วยทฤษฏี แนวคิด
และหลักการ. หน้า 18.
[๖] นันทวัฒน์ บรมานันท์. การปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. (กรุงเทพฯ : วิญญูชน,
2547) หน้า 94.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น