กระบวนการทั้งหลายเหล่านี้เป็นกระบวนการสำคัญที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(พ.ศ.2540) ได้กำหนดไว้ในหลายๆส่วนรวมทั้งโดยเฉพาะในหมวด 10
อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ "การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ"
ความจำเป็นของการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐนั้นเป็นสิ่งที่เราทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว
ประสบการณ์ในระบอบประชาธิปไตยของเราแสดงให้เห็นถึง "การกระทำ"
หลายๆอย่างที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเข้ามา "ใช้อำนาจรัฐ"
ไม่ว่าจะโดยฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายประจำก็ตาม
บางครั้งบางกรณีก็เกิดการใช้อำนาจดังกล่าวเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง
ทำให้มีผู้พยายาม "เข้าสู่ตำแหน่ง" กันมากขึ้นเพราะความหอมหวนของอำนาจเป็นที่มาของหลายๆสิ่ง
ที่ผ่านมา
กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐแม้จะมีอยู่แต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่งคือ
ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ จึงได้วางกลไกในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเสียใหม่เพื่อให้การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมีประสิทธิภาพและครบถ้วนยิ่งขึ้น
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อ "นำเสนอ"
กลไกและกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างสังเขปเพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นภาพรวมทั้งระบบของกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
โดยผู้เขียนจะขอนำเสนอบทความนี้ออกเป็น 3
ส่วนด้วยกันตามขั้นตอนของการดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง
ระหว่างการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่ง
1. ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเข้าสู่ตำแหน่งได้ก็แต่โดยการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง
ในบทความนี้จะไม่ขอกล่าวถึงระบบการเลือกตั้งและระบบพรรคการเมืองที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้พยายามที่จะวางกลไกเพื่อให้คนที่สุจริตและมีความสามารถเข้าสู่ระบบการเมืองได้มากขึ้น
แต่จะขอกล่าวถึงกระบวนการตรวจสอบเมื่อผ่านพ้นการเลือกตั้งและ "ได้ตัว"
ผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆแล้ว
"การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน"
เป็นมาตรการสำคัญประการหนึ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน
ของคู่สมรส และของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมืองก็คือเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานทางการเมืองของนักการเมืองโดยการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินจะชี้ให้เห็นว่า
"คุณมีอยู่เท่าไหร่" เมื่อเข้ามา "เล่น" การเมือง และ
"คุณมีอยู่เท่าไหร่" เมื่อ "ออกจาก" การเมือง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2540) ได้กำหนดไว้ในมาตรา
291 ให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมืองอื่น
รวมทั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งของตนเอง
ของคู่สมรสและของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายใน 30
วันนับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง โดยในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินนั้นต้องเป็นไปตามแบบที่คณะกรรมการ
ป.ป.ช.
กำหนดพร้อมด้วยเอกสารประกอบซึ่งเป็นสำเนาหลักฐานที่พิสูจน์ความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินรวมตลอดถึงสำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมาด้วย
เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ยื่นบัญชีฯแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ก็จะดำเนินการลงลายมือชื่อกำกับไว้ในบัญชีทุกหน้า
โดยบัญชีฯของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนั้นจะต้องเปิดเผยให้สาธารณชนทราบโดยเร็วภายใน
30 วันนับแต่วันที่ครบกำหนดที่ต้องยื่นบัญชีฯ
ส่วนบัญชีฯ ของผู้ดำรงตำแหน่งอื่นห้ามเปิดเผยเว้นแต่จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีหรือการวินิจฉัยชี้ขาด
และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับการร้องขอจากศาลหรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
และนอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ยังต้องตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินตามบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ยื่นไว้ด้วย
หากตรวจสอบพบความผิดปกติตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 295
แห่งรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
จะต้องเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งและต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดเป็นเวลา
5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง
2. ระหว่างการดำรงตำแหน่ง
รัฐธรรมนูญได้วางกลไกในการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไว้หลายประการด้วยกัน
คือ
2.1 การตรวจสอบคณะรัฐมนตรีโดยรัฐสภา
หากไม่นับรวมการซักถามและอภิปรายนโยบายของคณะรัฐมนตรี
การพิจารณาร่างกฎหมายประเภทต่างๆและการพิจารณาพระราชกำหนดแล้ว
รัฐสภาสามารถตรวจสอบการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีได้โดย
(ก) ตั้งกระทู้ถาม ตามมาตรา 183
และมาตรา 187 แห่งรัฐธรรมนูญซึ่งแยกได้เป็นสองประเภทคือ
การตั้งกระทู้ถามทั่วๆไปที่รัฐมนตรีสามารถตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือตอบในราชกิจจานุเบกษาได้
กับการตั้งกระทู้ถามสดที่จะต้องถามและตอบด้วยวาจาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อนึ่ง
สมาชิกวุฒิสภาสามารถตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีได้เช่นกันโดยผู้ถามจะต้องแสดงความประสงค์ว่าจะให้ตอบในราชกิจจานุเบกษาหรือจะให้ตอบในที่ประชุมวุฒิสภา
(ข) การเปิดอภิปรายทั่วไป มีอยู่ 2
กรณี คือ กรณีตามมาตรา 185 วรรคแรก
เพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี การเสนอญัตติตามมาตรา 186
วรรคแรก เพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
(ค) คณะกรรมาธิการ
คณะกรรมมาธิการมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการดำเนินการของฝ่ายบริหารโดยรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ในมาตรา
189 ให้มีหน้าที่กระทำการพิจารณาสอบสวน
หรือศึกษาเรื่องใดๆอันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของสภา แล้วรายงานต่อสภา
คณะกรรมาธิการมีทั้งของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
2.2 การถอดถอนจากตำแหน่ง
เป็นกลไกในการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงว่ามีความเหมาะสมหรือสมควรที่จะให้ผู้นั้นดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ต่อไปหรือไม่
(ก) เหตุในการถอดถอน ได้แก่
ผู้ดำรงตำแหน่งที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่
ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
หรือส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย (มาตรา 303
แห่งรัฐธรรมนูญ)
(ข) ตำแหน่งที่ถูกถอดถอน
ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด กรรมการการเลือกตั้ง
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (มาตรา 303
แห่งรัฐธรรมนูญ) รวมทั้งตำแหน่งผู้พิพากษา ตุลาการ
พนักงานอัยการหรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ.2542 คือ รองประธานศาลฎีกา
รองประธานศาลปกครองสูงสุด หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร รองอัยการสูงสุด
และผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงอันได้แก่ ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ทบวง
หรือกระทรวง สำหรับข้าราชการพลเรือน
ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพหรือผู้บัญชาการทหารสูงสุดสำหรับข้าราชการทหาร
ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกรุงเทพมหานคร
กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หัวหน้าหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลหรือผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กฎหมายอื่นบัญญัติ
(ค) กระบวนการถอดถอน
มีขั้นตอนดังนี้
(ค.1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรร้องขอต่อประธานวุฒิสภาหรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า
50,000 คน
เข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตาม (ข)
หรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4
ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภาเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้ถอดถอนสมาชิกวุฒิสภาผู้หนึ่งผู้ใดออกจากตำแหน่ง
(ค.2) ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ดำเนินการไต่สวน
(ค.3) เมื่อไต่สวนเสร็จ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
จะส่งเรื่องกลับไปยังวุฒิสภา ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
มีมติว่าข้อกล่าวหาใดมีมูล
ผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ อนึ่ง
ในกรณีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องส่งรายงานดังกล่าวให้อัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
(ค.4) การถอดถอนโดยวุฒิสภาจะต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า
3 ใน 5
ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
(ง) ผลของการถอดถอน
ผู้ถูกวุฒิสภาถอดถอนจะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือถูกถอดถอนออกจากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนและผู้นั้นจะถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมืองหรือในการรับราชการเป็นเวลา
5 ปี
2.3 การดำเนินคดีอาญากับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เป็นกระบวนการสำคัญอีกกระบวนการหนึ่งในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่รัฐธรรมนูญ
(พ.ศ.2540) กำหนดไว้
โดยมุ่งที่จะตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ทำผิดตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด คือ
จะต้องถูกตรวจสอบโดยองค์กรพิเศษเพื่อให้ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง
โดยมีหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบ ดังนี้คือ
(ก) คดีที่อยู่ในอำนาจการพิจารณา
ได้แก่
(ก.1) คดีที่มี่มูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหานายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่น
ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา
หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น
(ก.2) คดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาบุคคลตาม (ก.1)
หรือบุคคลอื่นเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดทางอาญาตาม
(ก.1)
(ก.3) คดีซึ่งประธานวุฒิสภาส่งคำร้องให้ศาลพิจารณาพิพากษาข้อกล่าวหาว่ากรรมการ
ป.ป.ช. ร่ำรวยผิดปกติ
กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
(ก.4) คดีที่ร้องขอให้ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติของนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมืองอื่น
ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามกฎหมายที่บัญญัติตกเป็นของแผ่นดิน
(ข) องค์กรที่ทำหน้าที่พิจารณาคดี ได้แก่
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จัดตั้งขึ้นโดยหมวด 10
ส่วนที่ 4 มาตรา 308
ถึงมาตรา 311 แห่งรัฐธรรมนูญ
(ค) กระบวนพิจารณาคดี
เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าคดีตามข้อ (ก.1) (ก.2)
และ (ก.4) มีมูลพอที่จะดำเนินคดี คณะกรรมการ ป.ป.ช.
จะต้องส่งรายงานเอกสาร และพยานหลักฐาน
พร้อมทั้งความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ส่วนกรณีตามข้อ (ก.3) นั้น ประธานวุฒิสภาสามารถส่งคำร้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้โดยตรง
เมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาลแล้ว
ประธานศาลฎีกาต้องเรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาให้มาเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พ.ศ.2542
ในการพิจารณาคดี
ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานต่อเนื่องไปทุกวันทำการจนกว่าจะเสร็จการพิจารณา
(ง) ผลการพิจารณาคดี
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถสั่งลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญา
สั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะเหตุร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินผิดปกติ
รวมทั้งสามารถสั่งให้มีการดำเนินคดีต่อกรรมการ ป.ป.ช.ที่ร่ำรวยผิดปกติ
กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอีกด้วย
3. การพ้นจากตำแหน่ง
การตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมิได้มีเฉพาะที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เพราะเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ้นจากตำแหน่ง
ผู้นั้นก็จะถูกตรวจสอบอีกด้วยการที่จะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเพื่อ
"พิสูจน์" ให้เห็นว่า
ตนมีทรัพย์สินและหนี้สินเพิ่มขึ้นหรือลดลงกว่าเมื่อตอนเข้าสู่ตำแหน่งหรือไม่
โดยมีรายละเอียดดังนี้ คือ
3.1 การพ้นจากตำแหน่งปกติ
ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลายที่ได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อ 1. พ้นจากตำแหน่ง
ต้องยื่นบัญชีฯ ภายใน 30 วันนับแต่วันพ้นจากตำแหน่ง
และหากผู้นั้นเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น
หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะต้องยื่นบัญชีฯ อีกครั้งหนึ่งภายใน 30
วันนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี
3.2 การพ้นจากตำแหน่งในกรณีตาย
ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางเมืองตายในระหว่างดำรงตำแหน่งหรือก่อนยื่นบัญชีหลังพ้นจากตำแหน่ง
ทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่มีอยู่ในวันที่ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นตายภายใน
90 วันนับแต่วันที่ผู้ดำรงตำแหน่งตาย
เมื่อยื่นบัญชีฯ แล้ว
กระบวนการและผลก็เป็นเช่นเดียวกับการยื่นบัญชีฯ เมื่อเข้าสู่ตำแหน่ง
ดังกล่าวมาแล้วในหัวข้อ 1.
สรุป
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2540) ได้วางกลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐไว้หลายกระบวนการ
โดยแต่ละกระบวนการก็เป็นกระบวนการที่สอดคล้องกัน กล่าวคือ
การอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจนำไปสู่กระบวนการถอดถอนและถูกลงโทษทางอาญาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้
เป็นต้น กระบวนการเหล่านี้ แม้จะเพิ่งเกิดขึ้นมาในระยะเวลาไม่นานมานี้เองแต่ด้วย
"ความสามารถ" ของบรรดากลไกในการตรวจสอบทั้งหลายทำให้สามารถ
"คาดเดา" ได้ว่า
ในวันข้างหน้าด้วยกลไกทั้งหลายที่มีอยู่จะทำให้ประเทศไทย "สะอาด" และ
"ปราศจาก" ผู้ที่เข้ามาฉกฉวยและหาประโยชน์จากการใช้อำนาจรัฐ
หมายเหตุ ข้อมูลทั้งหมดได้มาจาก "สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(พ.ศ.2540)" ที่จัดทำโดยสถาบันพระปกเกล้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น