กระบวนการทางการเมือง
โกวิท
วงศ์สุรวัฒน์ (มปป: 113) อธิบายว่ากระบวนการทางการเมือง (Political
Process) หมายถึง วิธีการใช้อำนาจอธิปไตย (Process)
เป็นกระบวนการอยู่ระหว่างปัจจัยนำเข้า (Input) ก่อให้เกิดผลผลิต
(Output) ออกมา เมื่อมีรัฐเกิดขึ้น ย่อมมีกระบวนการทางการเมือง
จรูญ สุภาพ (2527: 104) อธิบายว่า กระบวนการทางการเมือง คือ
เรื่องของการใช้อำนาจทางการเมือง
การใช้อำนาจทางการเมืองเป็นสิ่งที่เก่าแก่สืบเนื่องกันมาช้านาน
กระบวนการทางการเมืองนี้มีหลายวิธีแตกต่างกันตามยุคตามสมัยในสมัยโบราณ
การเปลี่ยนมือการปกครองภายในประเทศระหว่างชนชั้นนำในชุมชนก็เป็นวิธีการใช้อำนาจทางการเมืองอย่างหนึ่ง
บางชุมชนถือการสืบมรดกอำนาจทางการเมือง เหมือนการสืบมรดกในทรัพย์สิน
บางสังคมการใช้อำนาจทางการเมืองต้องได้รับความยินยอมจากบรรดาสมาชิกของสังคม
ชุมชนบางแห่งใช้ความรุนแรงและอำนาจบังคับเป็นแนวทางในการครอบครองอำนาจและใช้อำนาจนั้น
ทุกวิธีดังกล่าวข้างต้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการทางการเมืองทั้งสิ้น
กระบวนการทางการเมืองเป็นกิจกรรมที่มีความสลับซับซ้อน
เพราะมีหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลายหน่วย แต่ละหน่วยมีความรับผิดชอบโดยเฉพาะ
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องประสานงานกัน เพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากอำนาจอธิปไตยประกอบด้วยอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ
และอำนาจตุลาการ ยกตัวอย่างฝ่ายนิติบัญญัติทำหน้าที่ออกกฎหมาย
ฝ่ายบริหารมีหน้าที่กำกับควบคุมให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามกฎหมาย
ฝ่ายตุลาการจะเป็นผู้ตัดสินว่ากระทำผิดจริงหรือไม่
และตัดสินลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด
กระบวนการทางการเมืองครอบคลุมตั้งแต่สถาบันทางการเมือง
ซึ่ง ได้นำเสนอถึงสถาบันฝ่ายนิติบัญญัติ สถาบันฝ่ายบริหาร และสถาบันตุลาการ
ในระบอบการปกครองแบบรัฐสภาและแบบประธานาธิบดี
เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจกระบวนการทางการเมืองให้ครบถ้วน บทที่ 7
จึงเป็นการศึกษาเรื่องพรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ระบบราชการและสื่อมวลชน
ซึ่งจะมีความสัมพันธ์และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน ในกระบวนการทางการเมือง ประหนึ่ง
น๊อตของเครื่องจักร ถ้าตัวใดตัวหนึ่งหายไปจะเป็นเหตุให้เครื่องจักรชำรุดได้
พรรคการเมือง (Political Party)
1. ความหมายของพรรคการเมือง นักรัฐศาสตร์หลายท่านได้ให้คำจำกัดความของพรรคการเมืองไว้ดังนี้
วิลเลียม กูดแมน (Goodman, 1975: 8) อธิบายว่า
พรรคการเมือง คือ องค์การซึ่งเป็นที่รวมกันของสมาชิกที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน
โดยมีความม่งหมายอย่างชัดแจ้งที่หวังจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอันจะทำให้มีสิทธิเข้าไปใช้อำนาจการปกครองเพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากการเข้าไปมีอำนาจทางการเมือง
ที. เอส. สตีเวนสัน (Stevenson,
1973: 218) ให้คำนิยามว่า พรรคการเมืองประกอบด้วย
กลุ่มบุคคลที่ได้รวบรวมกันจัดตั้งองค์การขึ้นมา
เพื่อจะได้เสนอเป็นตัวแทนเข้าสมัครรับการเลือกตั้ง
และจัดตั้งรัฐบาลดำเนินการปกครองประเทศ
หยุด แสงอุทัย (2503: 184) อธิบายว่า
พรรคการเมือง คือ คณะบุคคลซึ่งรวบรวมกัน เพราะมีความเห็นในทางการเมือง
เศรษฐกิจและสังคม ในแนวทางใหญ่ตรงกัน
และมีความมุ่งหมายที่จะเป็นรัฐบาลอำนวยการปกครองตามความคิดเห็นนั้น ๆ
โกวิท วงศ์สุวัฒน์ (2543: 97) อธิบายความหมายพรรคการเมืองว่า
คือ กลุ่มบุคคลที่รวมกันขึ้นเพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมือง
ตามวิถีทางของแต่ละรัฐซึ่งกำหนดไว้
สรุปได้ว่า พรรคการเมือง คือ
คณะบุคคลที่มารวมกันมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมือง
เหนือพรรคการเมืองอื่นหรือนัยหนึ่ง คือ เป็นรัฐบาลนั่นเอง
2. หน้าที่ของพรรคการเมือง
ปรีชา
หงษ์ไกรเลิศ (2524: 15-21) ได้อธิบายถึงหน้าที่ทั่วไปของพรรคการเมืองไว้ดังนี้
2.1
หน้าที่ให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย
พรรคการเมืองมีบทบาทและหน้าที่ที่จะให้การศึกษาอบรมด้านการเมืองแก่ประชาชน
เพื่อให้ประชาชนทราบว่า
การปกครองประเทศนั้นมิใช่เป็นเรื่องของชนชั้นใดชั้นหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
หากแต่เป็นเรื่องของพลเมืองทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกัน
การให้การศึกษาทางการเมืองอาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การอธิบายหรือแถลงนโยบายของพรรคผ่านทางสื่อมวลชน
ตลอดจนการเข้าถึงประชาชนโดยตรง เช่น การอภิปราย ปาฐกถา การบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ
ตามโอกาส
2.2
หน้าที่สรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการเป็นผู้แทนราษฎรในระบอบประชาธิปไตย
เพราะผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นตัวแทนไปทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประชาชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง
ๆ ผู้ที่จะเป็นผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นบุคคลที่เสียสละ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการเป็นตัวแทนของราษฎรที่ดี
พรรคการเมืองจะต้องทำหน้าที่สรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
ซึ่งจะเป็นการกลั่นกรองตัวบุคคลที่เหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนที่ดีของประชาชน
2.3
หน้าที่ประสานประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้ว
กลุ่มอิทธิพลและกลุ่มผลประโยชน์จะมีบทบาทในการสร้างอิทธิพลต่อรัฐบาลในนโยบายสาธารณะ
เช่น การนัดหยุดงานของสหภาพแรงงาน
การเดินขบวนประท้วงของกลุ่มเกษตรกร เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลยินยอมปฏิบัติตามในสิ่งที่ตนต้องการ
ในขณะเดียวกัน กลุ่มนายจ้างก็ไม่ยินยอมที่จะปฏิบัติตาม
เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนไว้อย่างเหนียวแน่น
ในการนั้นพรรคการเมืองจะทำหน้าที่ประสานผลประโยชน์ให้กับกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
ด้วยการเสนอให้มีกฎหมายแรงงานที่เป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
รวมทั้งกลุ่มผลประโยชน์อื่น ๆ ด้วย
2.4
หน้าที่ในการระดมสรรพกำลังทางการเมือง
พรรคการเมืองจะทำหน้าที่เป็นศูนย์พลังทางการเมือง
เพราะเป็นที่รวมของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
และประชาชนที่มีความคิดเห็นทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ในแนวทางกว้าง ๆ
ที่คล้ายคลึงกัน เข้าด้วยกันเพื่อหาโอกาสเป็นรัฐบาล
ซึ่งจะสามารถนำเอานโยบายของพรรคการเมืองของตนไปปกครองประเทศ
พรรคการเมืองจึงเป็นที่รวมในการระดมสรรพกำลังต่าง ๆ เพื่อให้เกิดอำนาจต่าง ๆ
เรียกร้องและรวบรวมความคิดเห็นจากประชาชนและกลุ่มของประชาชนต่าง ๆ
เพื่อนำมาบริหารประเทศ
2.5
หน้าที่เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ
เมื่อสมาชิกของพรรคได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรฝ่ายเสียงข้างมากในรัฐสภาในกรณีรัฐบาลรูปแบบรัฐสภา
ย่อมถือได้ว่า ประชาชนมีความประสงค์ให้นโยบายของพรรคการเมืองนั้น
เป็นนโยบายของรัฐบาล ส่วนในรูปแบบรัฐบาลแบบประธานาธิบดี
ประชาชนจะเลือกผู้นำฝ่ายบริหารจากพรรคการเมืองพรรคหนึ่งพรรคใดโดยตรง
2.6
หน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านในระบอบประชาธิปไตย
พรรคการเมืองที่มีสมาชิกของพรรคได้รับเลือกตั้งน้อยและไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็จะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน หน้าที่ของฝ่ายค้านนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับระบอบประชาธิปไตย
เพราะทำหน้าที่เป็นเสมือนกระจกเงาให้รัฐบาลได้ทราบว่ามีสิ่งใดที่รัฐบาลบริหารงานขาดตกบกพร่องไปบ้าง
หรือสิ่งใดที่รัฐบาลควรทำเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ พรรคการเมืองฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ท้วงติงคัดค้านหรือยับยั้งมิให้รัฐบาลใช้อำนาจเกินขอบเขตจนกลายเป็นเผด็จการโดยเสียงข้างมาก
นอกจากนี้พรรคฝ่ายค้านยังทำหน้าที่ควบคุมให้รัฐบาลปฏิบัติตามนโยบายของตนที่ได้แถลงไว้ต่อสภา
2.7
หน้าที่ในการเป็นศูนย์กลางของกลุ่มผลประโยชน์และสมาชิกพรรคการเมืองเนื่องจากพรรคการเมืองเป็นที่รวมของบุคคลหลายกลุ่มหลายอาชีพมากมาย
ฉะนั้น โอกาสที่จะเกิดความแตกแยกทางความคิดเห็น จึงมักจะมีอยู่เสมอ
พรรคการเมืองจึงสามารถทำหน้าที่เสมือนเป็นเวทีให้สมาชิกต่าง ๆ
ของพรรคได้ระบายความอัดอั้นตันใจของตน หรือกลุ่มของตน เพื่อนำไปสู่การตกลงด้วยสันติวิธีก่อนที่จะนำปัญหาต่าง
ๆ ไปอภิปรายในสภา โดยนัยนี้เอง
พรรคการเมืองเป็นศูนย์กลางในการประสานการติดต่อและสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างมวลสมาชิกของพรรค
รวมทั้ง ระหว่างพรรคต่อพรรค ระหว่างพรรคต่อรัฐบาล
และระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชนทั่วไปด้วย
2.8 หน้าที่สร้างผู้นำทางการเมือง
ในประเทศประชาธิปไตย
พรรคการเมืองจะเป็นสถาบันที่สร้างผู้นำทางการเมืองที่ดีเพื่อผลิตออกไปเป็นนักการเมืองอาชีพที่มีความสามารถและพร้อมที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำทางการเมืองในระดับต่าง
ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้ว่าราชการมหานครและนายกเทศมนตรี
เป็นต้น สถาบันอื่น ๆ ที่มิใช่พรรคการเมือง
ย่อมมีความเหมาะสมน้อยกว่าในการผลิตผู้นำทางการเมือง เช่น
สถาบันราชการย่อมมีความเหมาะสมที่จะผลิตผู้นำทางการบริหารหรือข้าราชการที่ดีเท่านั้น
แต่มิใช่ผลิตผู้นำทางการเมือง เพราะการเป็นผู้นำทางการเมืองย่อมมีลักษณะแตกต่างไปจากผู้นำทางการบริหารเป็นอย่างมาก
กล่าวคือ ผู้บริหารหรือข้าราชการเป็นผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย
คำสั่งและระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ซึ่งฝ่ายการเมืองเป็นผู้วางไว้ให้
ส่วนผู้นำทางการเมืองเป็นผู้กำหนดนโยบาย โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ฉะนั้น
นักการเมืองจะต้องเข้าใจการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองของประชาชน
การประสานประโยชน์ต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างความสามัคคีของกลุ่มต่าง ๆ
ด้วยการวางนโยบายของพรรคและเมื่อพรรคได้เป็นรัฐบาลก็จะต้องเอานโยบายเหล่านี้ไปใช้โดยมีข้าราชการซึ่งเป็นฝ่ายบริหารเป็นผู้ปฏิบัติตาม
ฉะนั้นในระบอบประชาธิปไตย
พรรคการเมืองจึงเป็นสถาบันที่ฝึกอบรมและสร้างผู้นำทางการเมืองที่เหมาะสมกว่าสถาบันอื่นใด
สรุป พรรคการเมืองมีหน้าที่ที่สำคัญได้แก่
หน้าที่ในการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน โดยการบรรยาย อภิปรายตามโอกาสต่าง ๆ
หน้าที่ในการสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการเป็นผู้แทนราษฎร
เพราะบุคคลที่เป็นนักการเมืองจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะนอกเหนือจากความรู้ความสามารถแล้วต้องเสียสละและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
หน้าที่ประสานประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลและกลุ่มผลประโยชน์
หน้าที่ทำได้โดยการเสนอกฎหมายที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
หน้าที่ในการระดมสรรพกำลังทางการเมือง คน
และกลุ่มผลประโยชน์ที่มีแนวทางเดียวกันสามารถมารวมพลังกันกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง
ซึ่งถ้าพรรคการเมืองชนะการเลือกตั้งก็จะต้องทำหน้าที่เป็นรัฐบาล
เมื่อเป็นรัฐบาลก็จะได้นำนโยบายที่กำหนดไว้ไปใช้ นอกจากจะเป็นรัฐบาลแล้ว
พรรคการเมืองก็ต้องพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
เพราะฝ่ายค้านเป็นเสมือนกระจกเงาให้รัฐบาลได้ทราบถึงผลของการบริหารงาน นอกจากนี้
พรรคการเมืองยังเป็นเวทีให้มีการอภิปรายปัญหาต่าง ๆ ก่อนที่จะนำเข้าสู่สภา
และพรรคการเมืองยังทำหน้าที่สร้างผู้นำทางการเมืองที่สามารถต่อรองผลประโยชน์ต่าง ๆ
เพื่อประชาชนได้
3. ระบบพรรคการเมือง
โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ (มปป: 116-119)
ได้จำแนกพรรคการเมืองในโลกนี้ออกเป็น 3
ระบบ คือ
3.1
ระบบพรรคเดียว (Single Party System)
ประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการมักจะมีการปกครองระบบพรรคการเมืองแบบพรรคเดียว
ดังเช่น พรรคฟาสซิสต์ของอิตาลีสมัยมุสโสลินียังครองอำนาจอยู่
พรรคนาซีของเยอรมันสมัยฮิตเลอร์ ประเทศในอาฟริกาทั้งหลาย
มีการปกครองแบบเผด็จการในรูปลักษณะของรัฐบาลแบบคณะรัฐมนตรีซึ่งมีระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว
แต่ก็มิได้หมายความว่าประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยจะไม่มีระบบพรรคการเมืองพรรคเดียวก็หาไม่
ซึ่งเป็นข้อถกเถียงกันในหมู่นักรัฐศาสตร์ที่ยกเอาประเทศสิงคโปร์
และญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างของพรรคเด่นพรรคเดียว (One Dominant Party) กล่าวคือ
พรรคการเมืองในประเทศเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะมีพรรคการเมืองอื่น ๆ สมัครแข่งขันอยู่เสมอก็ตาม
แต่พรรคใหญ่ ๆ จะครองอำนาจและเสียงส่วนใหญ่ได้อย่างเหนียวแน่นเสมอ
เป็นเวลานานหลายสิบปี ในกรณีสิงคโปร์ และญี่ปุ่นนี้บางตำราก็จัดอยู่ในระบบหลายพรรค
บางตำราก็จัดอยู่ในระบบพรรคเดียว ขณะเดียวกัน
ประเทศอินเดียที่ในอดีตมีพรรคอินเดียเนชั่นคองเกรส (Indian National
Congress Party) เป็นพรรคการเมืองเดี่ยว
แต่ต่อมาภายหลังพรรคอื่น ๆ
ก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจนพรรคคองเกรสนี้หมดสภาพการเป็นพรรคการเมืองเดี่ยวไป
3.2 ระบบสองพรรค (Two Party
System) พรรคการเมืองระบบสองพรรคนี้
บรรดานักรัฐศาสตร์ทั้งหลายมีความเห็นเกือบเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นระบบพรรคการเมืองที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่
ประเทศที่เป็นตัวอย่างที่ดีของความมั่นคงทางการเมืองอย่างมากก็คือ
ประเทศอังกฤษและประเทศสหรัฐอเมริกา
สำหรับพรรคการเมืองระบบสองพรรคซึ่งเป็นคู่แข่งกันนั้นมักจะมีความแตกต่างกันในเรื่องที่มีความสำคัญลำดับรองลงมา
กล่าวคือ หลักใหญ่ ๆ หรือปรัชญาทางการเมืองมักไม่ผิดแผกกันมากนัก เช่น
การเป็นประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม ฯลฯ ดังตัวอย่างของพรรคอนุรักษ์นิยม (The
Conservative Party) และพรรคแรงงาน (The Labor Party) ของอังกฤษ
กับพรรครีพับลิกัน (The Republican Party) และพรรคดีโมแครต (The
Democratic Party) ของประเทศสหรัฐอเมริกา บรรดาพรรคการเมืองทั้ง 4
นี้ มีปรัชญาและนโยบายใหญ่ในทางประชาธิปไตยผสมกับสังคมนิยม ส่วนข้อแตกต่างอื่น ๆ
ก็เป็นเรื่องรองลงมา เช่น นโยบายการทหาร นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายทางสังคม
ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้ว พรรคการเมืองแบบสองแบบนี้เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับธรรมชาติ
กล่าวคือ ตามธรรมดามนุษย์เรามักเลือกของในขั้นสุดท้ายซึ่งเหลือแต่เพียงสองอย่าง
หลังจากการเลือกแล้วเลือกอีก จนในที่สุดต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
สรุปได้ว่า บรรดาประเทศที่มีระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคนี้มักจะมีความมั่นคงทางการเมืองสูงมาก
เพราะมีลักษณะพยายามเป็นตัวแทนของคนทุก ๆ กลุ่ม เช่น
พรรคอนุรักษ์นิยมก็มีนโยบายที่จะช่วยพวกกรรมกรเช่นเดียวกัน
ไม่ใช่ต่อต้านพวกกรรมกรซึ่งมักจะเป็นสมาชิกพรรคแรงงาน อีกประการหนึ่งก็คือ
อุดมการณ์มักจะไม่รุนแรง ไม่เอาใจประชาชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเท่านั้น
แต่ต้องพยายามทำให้พรรคเป็นที่ชื่นชมของประชาชนทุก ๆ กลุ่ม
3.3
ระบบหลายพรรค (Multi-party System)
พรรคการเมืองระบบหลายพรรค คือ
ประเทศที่มีพรรคการเมืองตั้งแต่สามพรรคขึ้นไป
พรรคการเมืองระบบหลายพรรคนี้เป็นลักษณะของประเทศประชาธิปไตยในยุโรปตะวันตก และ
กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
บรรดาประเทศเหล่านี้มักจะมีพรรคการเมืองมากกว่าสามพรรค คือ ประมาณห้าหรือหกพรรค
จะหาพรรคหนึ่งพรรคเดียวที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภาแทบจะไม่ได้เลย
ดังนั้น การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีจึงมักเป็นไปในรูปของรัฐบาลผสม (Coalition
Government) โดยบรรดารัฐมนตรีเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองต่างพรรคกัน
ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองต้องร่วมมือกัน
ตามธรรมดาแล้วก็จะเป็นพรรคการเมืองสองพรรคร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น
โดยมีข้อแม้ว่าพรรคการเมืองสองพรรคนี้รวมกันแล้วต้องมีเสียงข้างมากในรัฐสภา
ถ้าสองพรรครวมกันแล้วไม่มีสมาชิกรัฐสภาเพียงพอที่จะเป็นเสียงข้างมากได้ก็อาจต้องตั้งรัฐบาลผสมสอง
สาม หรือสี่พรรคการเมืองขึ้น ในประเทศไทยครั้งหนึ่งเคยผสมกันถึง 18
พรรค
พรรคการเมืองในระบบหลายพรรคนี้ เมื่อมีการตั้งรัฐบาลผสมขึ้นนั้น
ถ้าผลประโยชน์ขัดกันและการร่วมมือกันไม่มีความมั่นคงแล้ว
เสถียรภาพของรัฐบาลก็จะอ่อนแอมาก ดังตัวอย่าง ประเทศอิตาลี
คณะรัฐบาลล้มในระยะเวลาอันสั้นติดต่อกัน
เนื่องจากพรรคการเมืองซึ่งประกอบเป็นรัฐบาลผสมไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ รัฐบาลก็อ่อนแอและไม่มั่นคง ส่วนประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย
ดูเหมือนจะมีความมั่นคงทางการเมืองสูง
ถึงแม้ว่าระบบพรรคการเมืองเป็นแบบหลายพรรคก็ตาม
คงเป็นเพราะว่าพรรคการเมืองซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลผสมนั้น
สามารถร่วมมือและทำงานร่วมกันได้ดี ระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรคนี้เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเลือกผู้แทนราษฎรซึ่งมีความคิดเห็นใกล้เคียงกับตัวเองได้มากกว่าระบบสองพรรค
กล่าวคือ มีโอกาสเลือกมากกว่า แต่เสถียรภาพของรัฐบาลมักจะน้อยกว่า
สรุป ระบบพรรคการเมืองแบ่งได้ 3
ระบบ คือ ระบบพรรคเดียว ระบบสองพรรค และระบบหลายพรรค ระบบพรรคเดียวเป็นการปกครองของระบอบเผด็จการ
ระบบสองพรรคเป็นของประเทศอังกฤษกับประเทศสหรัฐอเมริกา
และระบบหลายพรรคเป็นของประเทศในยุโรปตะวันตกและกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย
รวมไปถึงประเทศไทยก็เป็นระบบหลายพรรค
ระบบพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบใดล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ
การแสวงหาอำนาจทางการเมือง ตามที่วิถีทางหรือรัฐธรรมนูญของแต่ละรัฐกำหนดไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น