1. ความหมายของกลุ่มผลประโยชน์
อัลมอนด์
และเพาเวลล์ (Almond & Powell, 1966: 75) ได้นิยามกลุ่มผลประโยชน์ไว้ว่า
หมายถึง กลุ่มคนที่เชื่อมโยงกัน
โดยมีความสนใจหรือห่วงใยในสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือมีผลประโยชน์ร่วมกันและโดยมีความสำนึกอยู่ไม่มากก็น้อยว่าเขามีความเชื่อมโยงดังกล่าวกันอยู่
จุมพล
หนิมพานิช (2542: 224) อธิบายว่า กลุ่มผลประโยชน์ (Interest
Group) หมายถึง
กลุ่มคนที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน
แต่ถ้าสมาชิกของกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าวได้ก่อตั้งองค์การ
(หรือกลุ่มที่มีการจัดระเบียบโครงสร้างอย่างดี) ขึ้นมาที่จะช่วยให้พวกเขาเองได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
ทั้งนี้เพื่อให้เป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายที่พวกเขาได้ตั้งใจไว้บรรลุผล
อานนท์
อาภาภิรม (2545: 97) อธิบายว่า กลุ่มผลประโยชน์ หมายถึง กลุ่มบุคคล
สมาคม สหพันธ์ หรือสหบาล ที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมืองที่จะเป็นรัฐบาล หน้าที่สำคัญของกลุ่มผลประโยชน์
คือ พยายามรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตนโดยเสนอความคิดเห็นของตนต่อรัฐบาล
หรือใช้อำนาจ
หรือใช้อิทธิพลบีบบังคับรัฐบาลให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่ม
สุขุม
นวลสกุล และวิศิฐ์ ทวีเศรษฐ์ (2542: 239) กล่าวว่า กลุ่มผลประโยชน์ คือ
กลุ่มของบุคคลที่รวมกันเพราะมีอาชีพหรือมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน
และมีความต้องการที่จะให้นโยบายของรัฐบาลสนองต่อความต้องการของกลุ่มคน
การรวมกันเป็นกลุ่มผลประโยชน์มีลักษณะคล้ายคลึงกับการรวมกันเป็นพรรคการเมือง
ความแตกต่างของกลุ่มผลประโยชน์กับพรรคการเมืองอยู่ตรงที่พรรคการเมืองต้องการเป็นรัฐบาลเพื่อกำหนดนโยบายเสียเอง
ส่วนกลุ่มผลประโยชน์ไม่ต้องการเป็นรัฐบาลเอง
แต่ต้องการให้รัฐบาลมีนโยบายสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่ม
สรุป
กลุ่มผลประโยชน์ หมายถึง กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันโดยมีวัตถุประสงค์และผลประโยชน์ร่วมกัน
มีทัศนคติไปในแนวทางเดียวกัน กลุ่มผลประโยชน์แตกต่างจากพรรคการเมือง
เพราะไม่ได้ต้องการเป็นรัฐบาลแต่ต้องการให้รัฐบาลมีนโยบายสอดคล้องตรงกับความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์
2. ประเภทของกลุ่มผลประโยชน์
อัลมอนด์ และเพาเวลล์ (Almond &
Powell, 1966: 75-80) ได้แบ่งประเภทกลุ่มผลประโยชน์ออกเป็น 4
ประเภทดังนี้
2.1
กลุ่มผลประโยชน์ของบุคคลที่เคว้งคว้างไร้บรรทัดฐาน (Anomic Interest
Groups) กลุ่มผลประโยชน์ประเภทนี้จะปะทุขึ้นอย่างค่อนข้างจะกะทันหันตามอารมณ์
เช่น การจลาจล การลอบสังหารตลอดจนการเดินขบวนประท้วง การเรียกร้องผลประโยชน์ในรูปลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นในสภาพที่ไม่มีกลุ่มที่ได้รับการจัดตั้งอยู่ในสังคม
หรือว่าหากมีก็มีบางกลุ่มที่ถูกปิดกั้นมิให้แสดงออกซึ่งความต้องการ ดังนั้น
ความไม่พึงพอใจที่ถูกปิดอยู่กดดันไว้จะปะทุออกมาถ้ามีเหตุการณ์เอื้ออำนวยหรือมีผู้ชักนำหรือปลุกระดมให้เกิดขึ้น
การชักนำนี้อาจกระทำโดยผู้ที่อยู่ในอำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของเขาเองก็ได้
แต่ข้อสำคัญไม่มีการจัดตั้งเป็นองค์กรแต่อย่างใด
2.2
กลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่มีการจัดตั้ง (Non - Associational Interest Groups) หมายถึง
กลุ่มเครือญาติ กลุ่มเชื้อชาติ กลุ่มภูมิภาค กลุ่มสถานภาพ กลุ่มชนชั้น กล่าวคือ
เป็นกลุ่มคนที่อาจไม่ได้พบปะกันอย่างสม่ำเสมอ แต่มีความรู้สึกร่วมกัน
มีความเชื่อมโยงกันทางจิตใจทางวัฒนธรรมอย่างรู้ใจกันพอสมควร
การเรียกร้องผลประโยชน์ของกลุ่มนี้จะเป็นครั้งคราว โดยผ่านบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือผู้นำ
เช่น ผู้นำทางศาสนา ตัวอย่างเช่น
การที่เจ้าของที่ดินหลายคนขอร้องข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือรัฐมนตรีให้พิจารณาไม่ขึ้นภาษีที่ดิน
โดยที่การขอร้องนี้เกิดขึ้นเมื่อเล่นกอล์ฟด้วยกัน
2.3
กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นสถาบัน (Institutional Interest Groups) กลุ่มผลประโยชน์ประเภทนี้จะเป็นองค์กรที่เป็นทางการ
(Formal Organizations) เช่น พรรคการเมือง สถาบันนิติบัญญัติ กองทัพ
ศาสนา หน่วยราชการและสถาบันอื่น ๆ
ซึ่งมีหน้าที่เฉพาะอย่างอื่นที่ไม่ใช่การเรียกร้องผลประโยชน์
กลุ่มเหล่านี้อาจเรียกร้องผลประโยชน์ของกลุ่มเอง หรือทำหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มอื่นในสังคม
นอกจากนั้นกลุ่มย่อยภายในสถาบันสำคัญ ๆ เหล่านี้
อาจทำหน้าที่เรียกร้องผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตนก็ได้
โดยอาศัยความยอมรับนับถือในสถาบันที่สังกัดอยู่เป็นทรัพยากรในการที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง
ตัวอย่างเช่น กลุ่มนักการธนาคารในพรรคอนุรักษ์นิยมพรรคหนึ่งอาจใช้อิทธิพลของพรรคในวันที่จะเพิ่มพูนผลประโยชน์ให้แก่วงการธนาคารหรือกลุ่มผู้นำกองทัพบกทำการเรียกร้องผลประโยชน์ให้แก่ชาวนาผู้ยากไร้
เป็นต้น ในสังคมกำลังพัฒนา กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นสถาบัน เช่น สถาบันราชการ
สถาบันทหารมีการจัดตั้งอย่างเหนียวแน่นและมีอำนาจมากในสังคม
ในขณะที่กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นทางการ
นอกจากสถาบันดังกล่าวมีน้อยหรือไม่ก็ขาดประสิทธิภาพ
2.4
กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นทางการ (Associational Interest Groups) กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นทางการในที่นี้
หมายถึง มีการจัดตั้ง มีสมาชิกเป็นการแน่นอนไม่ได้หมายความถึงที่เป็นทางราชการ
ตัวอย่างกลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นทางการ คือ สหภาพแรงงาน สมาคมนักธุรกิจ
สมาคมชาติพันธุ์และกลุ่มประชาชนประจำท้องถิ่นต่าง ๆ เหล่านี้
เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นปากเสียงแทนผลประโยชน์ของกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยเฉพาะ
กลุ่มเหล่านี้มักจะมีระเบียบวิธีการที่จะเรียกร้องผลประโยชน์และนำข้อเรียกร้องเสนอต่อระบบการเมือง
ในสังคมที่พัฒนาแล้ว กลุ่มเหล่านี้จะได้เปรียบกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ
จะได้รับการยอมรับว่าชอบธรรมและจะมีมากมายหลายกลุ่มครอบคลุมถึงกลุ่มชนต่าง ๆ
ในสังคม
สรุป
ประเภทของกลุ่มผลประโยชน์ มี 4 ประเภท 2
ประเภทแรกได้แก่
กลุ่มผลประโยชน์ของบุคคลที่เคว้งคว้างไร้บรรทัดฐานและกลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่มีการจัดตั้ง
2 กลุ่มนี้เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการจัดตั้ง กลุ่มแรก
เกิดขึ้นอย่างกะทันหันตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กลุ่มหลังถึงแม้ไม่มีการจัดตั้งแต่มีความเป็นกลุ่มร่วมกันผ่านทางเครือญาติ
เชื้อชาติ ภูมิภาค สถานภาพและชนชั้น 2
ประเภทหลัง ได้แก่ กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นสถาบันและกลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นสถาบัน
ได้แก่ พรรคการเมือง สถาบันนิติบัญญัติ กองทัพ ศาสนา หน่วยราชการ
กลุ่มนี้มีการจัดตั้งมีสมาชิกแน่นอน เช่น สหภาพแรงงาน สมาคมนักธุรกิจ
สมาคมชาติพันธุ์
กลุ่มนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นปากเสียงเรียกร้องผลประโยชน์ให้กลุ่มโดยเฉพาะ
จะเห็นได้ว่า กลุ่มผลประโยชน์ทั้ง 4
ประเภทนี้ล้วนมีผลต่อกระบวนการทางการเมือง
3. บทบาทหน้าที่ของกลุ่มผลประโยชน์
แสวง รัตนมงคลมาศ (2540: 784-785
อ้างถึงใน สยาม ดำปรีดา. 2547: 186) ได้อธิบายถึงบทบาทหน้าที่ของกลุ่มผลประโยชน์ว่ามีดังนี้
3.1
บทบาทหน้าที่ในการป้อนนโยบาย (Policy Input) การป้อนนโยบายนี้
หมายถึง บทบาทในการพยายามใช้อิทธิพลของกลุ่มผลักดันให้ฝ่ายกำหนดนโยบายดำเนินการออกหรือกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มคน
ซึ่งฝ่ายที่กำหนดนโยบายเป็นฝ่ายใดก็แล้วแต่
ข้อเท็จจริงของแต่ละหรือระบอบการเมืองที่ไม่เหมือนกัน
โดยในบางแห่งอาจเป็นพรรคการเมืองบางแห่งของรัฐบาล บางแห่งเป็นรัฐบาล และในบางแห่งคือ
ระบบราชการ ส่วนยุทธวิธีในการผลักดัน อาจทำได้หลายรูปแบบ
นับตั้งแต่วิธีการป้อนข้อมูลข่าวสารของตนให้กับฝ่ายที่กำหนดนโยบายเข้าร่วมตกลงหรือต่อรองให้มีการแบ่งผลประโยชน์และหยิบยื่นผลประโยชน์ทั้งในทางที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรมให้กับฝ่ายกำหนดนโยบาย
ทั้งนี้เพื่อโน้มน้าวให้นโยบายที่ออกมานั้นเป็นไปตามทิศทางของกลุ่มตน
ตลอดจนวิธีการเรียกร้องหรือเดินขบวนสนับสนุนหรือต่อต้าน
ก็ถือว่าเป็นอีกยุทธวิธีหนึ่งของการผลักดันนโยบาย
3.2
บทบาทหน้าที่ในการประสานและขานรับนโยบาย (Policy Coordinator and
Implementator) นอกจากการผลักดันนโยบายแล้ว
การประสานและขานรับนโยบายที่กลุ่มตนเห็นด้วย
ยังถือเป็นหน้าที่หลักอีกด้านหนึ่งของกลุ่มผลประโยชน์ ทั้งนี้
เพื่อให้นโยบายที่ออกมาสามารถบรรลุผลสำเร็จในทางปฏิบัติที่กว้างขวางขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มมีเป้าหมายในการประสานและขานรับนโยบายมากกว่าที่จะผลักดันนโยบาย
กลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่จัดตั้งโดยฝ่ายนโยบายหรือฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐ
เพื่อคอยขานรับนโยบายของตนที่ออกมาและเพื่อดำเนินการต่อต้านกลุ่มต่อต้านเมื่อเกิดกรณีขัดแย้ง
อย่างไรก็ตาม
การจัดตั้งกลุ่มเพื่อประสานและขานรับนโยบายของผู้กุมอำนาจปกครองประเภทนี้
ทำให้เกิดกลุ่มที่ไม่อิสระขึ้นและทำให้มีความขัดแย้งในสังคมสูง
ซึ่งโดยทั่วไปประเทศที่ปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
จะไม่ดำเนินการจัดตั้งกลุ่มในลักษณะนี้
เพราะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนและเป็นการเพิ่มพูนความขัดแย้งและความรุนแรงให้กับกระบวนการพัฒนาการทางการเมือง
กลุ่มผลประโยชน์มีความสำคัญในฐานะเป็นตัวกลางในการเชื่อมประสานสถาบันการเมืองต่าง
ๆ ในสังคม บทบาทของการเชื่อมประสานนี้สามารถจำแนกออกเป็น 2
ประเภท คือ
3.2.1
การเชื่อมประสานในแนวดิ่ง (Vertical coordinator) หมายถึง
การทำตัวเป็นตัวกลางในการส่งลูกขึ้นไป และรับลูกลงมา
ซึ่งลูกที่ส่งไปและหรือรับมานั้นก็คือ นโยบายนั่นเอง
ส่วนผู้ที่กลุ่มนำลูกหรือนโยบายไปส่งนั้น ย่อมหมายถึง
ประชาชนที่ทางกลุ่มเป็นหรืออ้างเป็นตัวแทนสำหรับผู้รับลูกหรือนโยบายนั้นอาจเป็นพรรคการเมือง
รัฐสภา รัฐบาลและหรือระบบราชการแล้วแต่กรณี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ
การเป็นผู้เชื่อมประสานระหว่างประชานกับสถาบันทางการเมืองอื่น ๆ ในสังคม
บทบาทของการเป็นตัวกลางในการเชื่อมประสานระหว่างสถาบันประชาชนกับสถาบันทางการเมืองอันนี้นับว่าเป็นบทบาทที่จำเป็นและสำคัญที่สุดสำหรับกลุ่มผลประโยชน์
ทั้งนี้
เพราะถ้าปราศจากเสียซึ่งกลุ่มผลประโยชน์แล้วโอกาสและความเป็นไปได้ในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและผลประโยชน์ของกลุ่มประชาชนต่าง
ๆ ก็จะขาดกลไกที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านนี้ ขณะเดียวกันการผ่านนโยบายและมาตรการต่าง ๆ
ของสถาบันการเมืองทั้งหลาย หมายถึง ประชาชนก็จำเป็นต้องมีกลุ่มผลประโยชน์เป็นกลไกเชื่อมโยงให้
มิฉะนั้นแล้ว โอกาสการส่งผ่านนโยบายย่อมมีน้อยและบางครั้งก็ไร้ประสิทธิภาพ
3.2.2
การเชื่อมประสานในแนวนอน (Horizontal coordinator) หมายถึง
การติดต่อสัมพันธ์ในระดับกลุ่มผลประโยชน์ด้วยกัน โดยทั่วไปกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
มักจะดำเนินการอย่างอิสระของตนเอง
แต่ถ้ามีเหตุการณ์หรือความจำเป็นบางอย่างก็อาจจะมีการเชื่อมประสานติดต่อกันหรือดำเนินกิจกรรมบางอย่างร่วมกัน
ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับหลักแห่งผลประโยชน์ร่วมกันประการหนึ่งและหลักการมีศัตรูร่วมกันอีกประการหนึ่ง
ตัวอย่างการเชื่อมประสานนั้นจะเห็นได้จากการร่วมมือของธุรกิจต่าง ๆ
ที่มักจะเกิดขึ้นเสมอตามสถานการณ์ หรือตัวอย่างการประสานงานระหว่างนิสิต นักศึกษา
กับกรรมกรและชาวนาในการต่อต้านอำนาจเผด็จการ เป็นต้น
สรุป
ในสังคมระบอบประชาธิปไตย กลุ่มผลประโยชน์มีบทบาทไม่น้อยไปกว่าพรรคการเมือง
โดยเฉพาะบทบาทในการป้อนนโยบาย
เป็นการพยายามผลักดันนโยบายโดยใช้อิทธิพลของกลุ่มกดดันให้มีการกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น